แม้ว่าราคาปลามังกรในปัจจุบันจะต่ำลงเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนซัก 2-3 ปี ก่อนหน้านี้ ผมก็เชื่อว่าก็ยังไม่โดนใจใคร 100% จึงมีหลายท่านคิดว่าปลามังกรจากเมืองนอกน่าจะมีราคาที่ถูกกว่า (ไม่งั๊นพ่อค้าบ้านเราคงไม่ซื้อมาขายต่อ ถูกต้องใช่มั้ยครับ ?) และเมื่อเกิดความคิดแบบนั้น หลายท่านจึงมีความคิดว่า ถ้าปลาบ้านเราแพงไม่น่าซื้อแถมมีให้เลือกน้อย งั๊นขอไปเอามาเองที่ต่างประเทศดีกว่า ถูกกว่าเป็นไหนๆ มีให้เลือกเยอะแยะ แถมรวมๆ แล้วคุ้มค่ากว่าเยอะ… ครั้งหนึ่งผมเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน
วันนี้ผมมี Case Study มาให้เพื่อนสมาชิก Aro4u ได้อ่านกัน ซึ่งหากติดตามผลงานผมมาโดยตลอด เพื่อนๆ คงจำได้ว่าผมเคยได้ไปเที่ยวฟาร์มปลาที่ประเทศสิงคโปร์ แต่คราวนั้นไมได้ไปแค่ฟาร์มอย่างเดียว แต่ไปดูปลาตามร้านด้วย เมื่อเห็นปลาที่นั่นก็ต้องยอมรับว่าที่นั้นมีปลาสวยจริงๆ เห็นแล้วก็อดไม่ได้ ทั้งความสวยงามของตัวปลา และราคาเสนอขายที่ถูกกว่าเมืองไทยมากจึงตัดสินใจทดลองสั่งเข้ามา เอาน่ะ ลองดูซักที คัดปลาข้ามประเทศเลยทีนี้ (ทั้งผมและเพื่อนๆ ที่ไปด้วยรวมกันซื้อได้ประมาณ 10 ตัว เป็นสายพันธุ์ทองอินโด 1 ตัว ทองมาเลย์ Golden Head 1 ตัว ลูกผสมทองมาเลย์ x แดง 1 ตัว และปลาแดงอีก 7 ตัว ทั้งหมดซื้อจากร้านๆ เดียว รวมแล้วเป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลยทีเดียว)
ตามมารยาทของการซื้อปลาจากเมืองนอก เราต้อง "จ่ายเงินก่อน" นะครับ จากนั้นเขาจึงจะส่งปลาให้เรา (ต่างกับเมืองไทยที่ถูกใจปั๊บ รับปลาปุ๊ป ก็จ่ายเลย หรือบางร้านที่ดีหน่อยก็มาส่งปลาให้ที่บ้าน ลงปลาให้โดยเรียบร้อยปลอดภัยแล้วจึงค่อยจ่ายสตางค์) ดังนั้นเมื่อจับจองปลาเรียบร้อยแล้ว เราจึงต้องจ่ายค่าตัวปลาแบบเต็มจำนวน ไม่มีการมัดจำหรือจ่ายเพียงบางส่วน (มันผิดวิธีเขา) ด้วยเราเองก็พอจะเป็นที่รู้จักอยู่บ้าง และเขาเองก็เป็นร้านใหญ่ที่มีชื่อเสียงและดำเนินกิจการมานาน ดังนั้นเราทั้งสองฝ่ายจึงไว้เนื้อเชื่อใจกัน
หลังจากจองปลาและจดหมายเลขชิพเรียบร้อยแล้ว (ไว้ Scan เช็ครหัสตอนที่ปลามาส่งว่าตรงตามที่เราคัดเลือกไว้หรือไม่) ผมก็เดินทางกลับเมืองไทยแล้วเฝ้ารอการติดต่อของเขาที่ถูกรับปากว่าจะส่งปลามาโดยเร็ววัน รับรองว่าไม่นานเกินรอ ขั้นตอนมีอยู่ว่า… ที่นี่ทำ Cites ใช้เวลาเพียง 3 วัน จากนั้นก็จะส่งเอกสารมาเมืองไทย ใช้เวลาทำ Cites ในกรมประมงอีก 7-10 วัน เสร็จแล้วประมาณ 1-3 วัน ก็สามารถส่งปลาได้ สรุปแล้วไม่น่าเกิน 2 สัปดาห์ผมจะได้เห็นปลาของผมแล้วล่ะครับ
กลับมาถึงที่บ้าน ผมก็จัดตู้ เตรียมความพร้อมเพื่อรอรับปลาตัวใหม่อย่างตื่นเต้น… รอแล้วรอเล่า รอแล้วก็รอเล่า ก็ยังไม่มีข่าวคราวความคืบหน้าเกี่ยวกับการมาของปลาแต่อย่างใด ส่ง Email ถามไถ่ไปหลายต่อหลายฉบับ คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ "Sorry for late delivery, we will send you as soon as possible. Please wait” (ขออภัยสำหรับการส่งปลาที่ล่าช้า เราจะจัดส่งให้อย่างเร็วที่สุด ขอให้รอหน่อย) เพื่อนๆ ทราบมั้ยว่า ผมรอปลาชุดนี้นานนับเดือน และไม่ใช่แค่เดือนเดียว แต่เกือบ 3 เดือนเชียว อ่อนล้าเหนื่อยแรงแค่ไหนกับการรอคอย ไม่ต้องให้เขียนบอกอธิบายก็เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายท่านคงเข้าใจ
เห็นท่าไม่ดี เพราะเงียบหายไปนานจึงเริ่มเสาะหาข้อมูลภายในว่าที่ส่งปลาช้านั้นเป็นเพราะอะไร ? สอบถามสาวความกันไปก็มาทราบข้อเท็จจริงว่า "ร้านปลา" นั้นไม่ว่าใหญ่โตหรือมีชื่อเสียงแค่ไหน ? ถ้าไม่ได้ก่อตั้งอยู่ในรูปแบบ "ฟาร์มเพาะพันธุ์" จะไม่มีใบอนุญาตของ Cites ดังนั้นจึงไม่สามารถส่งปลาข้ามประเทศเทศได้ ดังนั้นทางออกของร้านคือ "การให้ฟาร์มที่สนิทสนมที่สุดเป็นผู้ส่งปลาให้" แต่ในช่วงนั้นเองไม่มี Deal ส่งปลามาเมืองไทย ต้องรอจนกว่าจะถึงรอบส่งครั้งต่อไป เราจึงจะได้ปลาที่คัดจองไว้… นี่เป็นเหตุผลที่ความล่าช้าเกิดขึ้น เราเองไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน ก็ต้องยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น
NOTE : วันจ่ายค่าปลา จำได้ว่ามีค่าทำเอกสารด้วยจำนวนหนึ่ง (ประมาณเกือบ 1 หมื่นบาทไทย) ซึ่งเขาว่าครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายในการทำเอกสารทั้งหมด รวมถึงภาษีของตัวปลาด้วย… เรื่องนี้ไม่มีปัญหา เราก็จัดการชำระให้โดยไม่มีการต่อรองใดๆ
ผมสั่งปลาที่ปลายเดือนแรกของต้นปี แต่ได้ปลาเมื่อต้นเดือน 4 ปีเดียวกัน ?? รอเกือบ 3 เดือน ปลาจึงมาถึง (หลังๆ ส่งเมลไปสอบถามก็เงียบไป ไม่มีการตอบรับใดๆ กลับมา) ผมได้บอกสาเหตุไปแล้วคร่าวๆ ว่า ที่ไม่สามารนำส่งได้ทันทีก็เพราะว่าทางฟาร์มที่ช่วยเหลือในการส่งปลา เขามีรอบส่งตามกำหนดการณ์อยู่แล้ว ไม่สามารถลัดคิวส่งมาให้ก่อนได้ (จริงๆ ผมว่าได้นะครับ แต่จำนวนน้อยเกินไปคงไม่คุ้มค่าใช้จ่ายของเขา ภาระการรอคอยจึงตกที่เรา) เมื่อปลามาถึงยอมรับว่าดีใจมาก จึงนัดเพื่อนๆ ชวนกันไปรับปลาด้วยกัน ผมได้รับการแจ้งว่ามีปลาทั้งหมด 4 กล่อง (รวมจำนวนสั่งเพิ่มจากร้านปลารายอื่นที่สั่งซื้อปลาจากร้านนี้ด้วย) รวม 27 ตัว… ในจำนวนนี้มีปลาใหญ่เกิน 12 นิ้วอยู่ด้วย 2 ตัว คงจะแออัดน่าดู ผมคิดในใจ
เปิดกล่องดูก็พบว่าปลาแต่ละตัวสภาพไม่ค่อยน่าประทับใจนัก สีจืด ซีด เผือก… แต่เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดา ยอมรับได้ ถุงที่บรรจุปลาแต่ละใบเมื่อเทียบกับตัวปลาถือว่าเล็กมาก น้ำก็น้อย ผิดวิธีการ Pack อย่างถูกวิธีที่ผมเข้าใจ เมื่อเห็นตรงกันว่าปลาอยู่ในถุงที่คับแคบเกินไป จึงทำการเปลี่ยนขนาดถุงใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิม ในระหว่างเปลี่ยนถุงบรรจุปลาอยู่นั้นผมสังเกตเห็นว่าปลาของเพื่อนๆ แข็งแรงดีกันหมด มีบ้างที่บอบช้ำ แต่ก็เล็กน้อยเท่านั้น อย่างเช่นเกล็ดหลุด หัวถลอก ปากแตก แต่สภาพปลาของผมกลับเลวร้ายแบบที่ไม่คาดหวังจะได้เจอ… ผมสั่งปลา 2 ตัว ตัวหนึ่ง มีอาการตื่นตกใจ กระโดดไม่หยุด จนครีบก้นหัก แต่ไม่มาก ส่วนอีกตัว หางขาดหมดใบตั้งแต่ยังไม่เปลี่ยนถุง บอกตามตรงว่ากลุ้มใจ… กลุ้มใจจริงๆ
ขอเรียนตามตรงว่าเราไม่สามารถหาคนรับผิดชอบสำหรับเรื่องนี้ได้นะครับ แน่นอนที่มันเป็นความโชคร้ายของเราเอง ไม่มีใครคาดหวังจะให้เป็นแบบนี้ทั้งตัวผู้ขายหรือผู้ซื้อ แต่ผมขอบอกให้เพื่อนๆ ทราบไว้เป็นความรู้ว่า ในกรณีทีซื้อปลาจากเมืองนอกแล้วเกิดหัก คด พัง หรืออาการผิดปกติหนักเบาใดๆ ก็ตาม “แต่ไม่ตาย"… จะไม่มีการรับผิดชอบใดๆ เกิดขึ้น จะขอ Claim ขอให้รับผิดชอบ ขอเปลี่ยนปลา เชื่อว่าไม่มีผลใดๆ เกิดขึ้น เงินจ่ายไปแล้ว คุณได้รับปลาแล้ว นั่นหมายถึงการซื้อขายจบสิ้นลง… ผมเองก็รู้ประกาศิตข้อนี้ดีแก่ใจเช่นกัน ได้ปลาดีสภาพสมบูรณ์กลับมา ก็คือว่าคุ้มค่าเงิน คุ้มค่าความเสี่ยง คุ้มค่าการรอคอย แต่ถ้าได้ปลาสภาพยับเยินกลับมา (เหมือนผม) ก็ซวยไป งานนี้ใครก็ช่วยไม่ได้ ได้แต่ก้มหน้ารับสภาพไปแบบนั้น
มาดูอาการปลากันบ้างดีกว่า สำหรับปลาตัวแรกนั้นตอนที่ได้มาผมบอกให้ทราบแล้วว่า ต้นครีบก้นหัก อันเกิดจากการกระโดดภายในถุง (มาจากการใช้ปริมาณยาสลบไม่เหมาะสมสัดส่วน จึงทำให้ปลาสงบนิ่งไม่พอ) เมื่อเห็นแบบนั้นแล้วใจรู้สึกไม่ดี จึงบอกให้ทางฟาร์มที่รับปลามาทำการวางยาเพิ่มเติมให้ จริงๆ แล้วการ Double ยาสลบ ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง ในแต่วินาทีนั้น ถ้าให้ผมเลือกจะวางยาซ้อน หรือจะหิ้วปลาครีบหักหมดทั้งตัวกลับบ้าน ผมขอเลือกที่จะวางยาอีกครั้ง เมื่อปลาสลบก็ต้องถ่ายน้ำออกบางส่วนแล้วเติมน้ำใหม่ ปลาที่เพิ่งมาจากต่างประเทศจำเป็นต้องได้รับการปรับสภาพน้ำยาวนาน จิตใจและใบหน้าที่คร่ำเครียดอยู่แต่ที่ตรงนั้นตรงนั้นไม่ได้ไปไหน (เพื่อนๆ ที่มาด้วยก็รออยู่เป็นเพื่อน พร้อมทั้งให้กำลังใจ) เมื่อมั่นใจว่าหมดปัญหาแล้ว จึงเดินทางกลับบ้าน
ปลาตัวที่ต้นครีบก้นหักนั้นเป็นทองมาเลย์ชั้นดี และไม่ใช่ของผม แต่เป็นปลาของเพื่อนฝากซื้อ… เหนื่อยใจมากครับ ตอนลงปลาก็เห็นว่าว่ายน้ำหัวทิ่ม (ทั้งที่ปรับสภาพน้ำ และอุณหภูมิแล้วกว่าครึ่งชั่วโมง) ที่สำคัญคือ "หลังลอยพ้นน้ำ" อันเป็นสัญญาณอันตรายที่ไม่ได้อยากให้เกิดขึ้น วิธีนี้เราแก้ไขกันด้วยการลดน้ำต่ำลงเพื่อลดแรงว่ายน้ำของตัวปลา ใส่เกลือเพื่อปรับ Balance ภายในร่างกาย ติด Heater ควบคุมอุณหภูมิให้นิ่งไม่แกว่งขึ้นลง (ปรับไว้ที่ 30 องศา)… เวลานี้ปลามีอาการเสี่ยงต่อการช๊อคน้ำได้ง่ายมาก ผมกับเพื่อนๆ นั่งฝั่งดูอาการกันนานนับชั่วโมง
ถามว่ากลัวตายไหม ? ยอมรับว่ามีบ้างครับ ปรึกษากันเสร็จจึงได้ยกหูโทรศัพท์โทรไปถามเจ้าของผู้ส่งปลา (พอดีมาเมืองไทยด้วย) แต่ไม่ได้พูดเอง ให้เพื่อนพูดให้เพราะภาษาเขาแข็งแรงกว่า และสื่อได้ตรงที่เราต้องการมากกว่า คำตอบที่ได้คือ "คงไม่ตาย แต่ถ้าตาย จะลดราคาตัวต่อไปให้เป็นพิเศษ" เราได้ยินมาเท่านี้ครับ… เวลานี้ไม่ได้สนใจเรื่องราคา แต่อยากรู้ว่าจะทำยังไงให้มันมีสภาพที่ดีกว่านี้ นั่งดูปลาตั้งแต่ 4 ทุ่มเศษกว่าจะกลับบ้านก็เที่ยงคืนนิดหน่อย กลับก็ตอนที่เห็นว่าอาการดีขึ้นแล้ว รอดตายแล้ว (ปลาจะตายหรือไม่ ผมพอดูจะดูออกอยู่)… คืนนี้เหนื่อยเต็มทนแล้ว ยังต้องกลับไปเคลียปลาเราอีก
NOTE : ช่วงที่ลงปลาใหม่ๆ ปลามีอาการตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัดเจน ว่ายน้ำพุ่งหนีไปมาทั้งๆ ที่หัวทิ่มอยู่แบบนั้น เสียศูนย์จนไม่น่ามอง ยอมรับว่าเครียดมาก แต่หลังจากที่แก้ปัญหาเบื้องต้นตามที่ได้กล่าวไปแล้ว สภาพปลาก่อนกลับบ้าน ครีบก้นหักเพิ่มเป็น 3 ก้าน แต่เป็นแบบหักเดาะ ไม่หักขาด หัวทิ่มน้อยลง แต่หลังยังลอยน้ำอยู่ ดูแววตาแล้วแข็งแรงดี ปลอดภัยพ้นขีดอันตรายแล้ว
*** ตอนหน้ามาดูสภาพปลาตัวเก่งที่ต้องสั่งจองและรอนานถึง 3 เดือนด้วยกันนะครับ