ต่อจากกระทู้นี้นะครับ
http://www.aro4u.com/articles-detail/611
ก่อนจะตัดสินใจลงทุน ขอให้พิจารณาให้ดีนะครับ NC. ขอแนะนำแนวทางหลักๆ ไว้ให้กับทุกๆ ท่าน เพื่อจะได้ไม่เสียโยชน์ในการพิจารณาก่อนตัดสินใจ
1. ขอให้มีเงินเย็นสำหรับการลงทุน (ถ้ากู้เขามาทำ, ยืมสตางค์เขามาขุน, เป็นหนี้บุคคลอื่นมาสร้างฝันให้ตัวเอง => NC. ยืนยันได้ว่า “เจ๊งตั้งแต่เริ่ม”)
2. ต้องมั่นใจว่า “มีเวลา” เลี้ยงดู เอาใจใส่ บ่อเงินบ่อทองที่ลงทุนไป
3. เลือกร่วมโครงการกับร้านค้า หรือฟาร์มปลาที่เป็นที่รู้จัก มีความน่าเชื่อถือ และไว้วางใจได้ (พิจารณาเงื่อนไขข้อเสนอให้ดีๆ หากมีข้อสงสัยใดๆ ก็ขอให้สอบถามทันที อย่าให้สิ่งที่ผู้เริ่มโครงการสร้างฝันทำให้เราฝันหวานจนลืมพิจารณาข้อเท็จจริง)
4. มีการทำสัญญาตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ ? (ถ้ามีก็ชัดเจน ผู้ร่วมโครงการก็มีความเสี่ยงน้อยลง และผู้เริ่มโครงการก็มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น)
5. สอบถามเรื่องการการันตีการซื้อคืนจากผู้เริ่มโครงการให้แน่ชัด ?
– ซื้อระยะเวลาเท่าไหร่ ? หรือ ที่ไซส์เท่าไหร่ ?
– ซื้อคืนเหมาทีเดียวหมด ? หรือ ซื้อคืนเป็นตัวๆ ได้ ?
– ซื้อคืนระหว่างทางได้ไหม ? (เช่น ยังไม่ถึง 18 นิ้ว แต่ได้ 12 นิ้ว หรือ 15 นิ้วแล้ว ?)
– ผู้ร่วมโครงการขายคนอื่นได้ไหม ? (โดยปกติตามข้อตกลงจะต้องขายคืนให้กับผู้เริ่มโครงการเท่านั้น)
*** ในส่วนนี้หากผู้เริ่มโครงการยินยอมให้สามารถขายคนอื่นได้ ขอให้คิดให้ดีๆ ก่อนแล้วควรนำมาพิจารณาเป็นลำดับสุดท้ายนะครับ เพราะหากผู้ร่วมโครงการขายคนนอกก่อน (ปล่อยตัวสวยให้ได้ราคา) เมื่อปลายทางจะเหลือแต่ตัวไม่สมบูรณ์คืนให้กับผู้เริ่มโครงการ ราคาที่ควรจะได้ก็จะต่ำตามสภาพปลาไปด้วย (ถ้าคิดจะเข้าร่วมแล้ว หากไม่ลำบากจริงๆ “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” ดีกว่าครับ)
6. พิจารณาเงื่อนไขของ “สภาพปลา” ณ วันที่ซื้อคืนให้แน่ชัด => รับได้ทุกสภาพไหม ? ตาตก ปากยื่นรับได้ไหม ? เกล็ดกร่อน หนวดขาด รับได้ไหม ? กัดกันมันส์ ฟันกันเละ รับได้ไหม ? มีปัญหาเรื่องเหงือก รับได้ไหม ? สภาพอื่นๆ รับได้ไหม ? หรือ อะไรบ้างที่รับไม่ได้ ที่จะไม่รับซื้อคืน ?
7. พิจารณาเรื่องค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น => ค่าภาชนะ (ตู้, อ่าง, ถัง, บ่อ) ค่าอุปกรณ์ (ระบบออกซิเจน, Heater, Power Head, พัดลดระบายอากาศ, วัสดุกรอง และอื่นๆ) ค่าน้ำ (ที่ต้องเปลี่ยนทุกวัน) ค่าไฟ (ที่ต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง) ค่าอาหาร (ที่ต้องให้เป็นประจำทุกวัน และต้องอิ่มเสมอๆ เพื่อกันปลาทะเลาะกันจากการปัญหาการให้อาหารไม่เพียงพอ) และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานนับปีตลอดโครงการ
8. พิจารณาเปรียบเทียบจำนวนเงินขั้นต่ำที่ผู้เริ่มโครงการรับซื้อคืน กับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นตลอดโครงการ พร้อมตอบคำถามให้กับตัวเองว่า “คุ้มไหมกับการลงทุน” ?
ตัวอย่างที่ 1
ซื้อ RTG ตัวละ 8,000.- บาท รวม 10 ตัว วันแรกจ่าย 80,000.- บาท + ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในข้อ 7
ถังขุน + วัสดุอุปกรณ์ + ค่าน้ำ + ค่าไฟ + ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายรวม 1 ปีครึ่ง (18 เดือน) = 10,000+ 9,000 + 18,000 + 18,000 = 55,000.- บาท
รวมค่าใช้จ่าย 80,000 + 55,000 = 135,000.- บาท
ผู้เริ่มโครงการรับซื้อคืนขั้นต่ำตัวละ 15,000.- บาท ณ วันที่ซื้อคืนก็จะได้ 15000 x 10 = 150,000.- บาท
หักค่าใช้จ่ายแล้ว 150,000 – 135,000 เหลือแค่ 15,000.- บาท => คุ้มไหม ???
ตัวอย่างที่ 2
ถ้าเป็นทองมาเลย์ ซื้อทองมาเลย์มาตัวละ 30,000.- บาท รวม 10 ตัว วันแรกจ่าย 300,000.- บาท + ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในข้อ 7 (55,000.- บาท)
รวมค่าใช้จ่าย 300,000 + 55000 = 355,000.- บาท
ผู้เริ่มโครงการรับซื้อคืนขั้นต่ำตัวละ 50,000.- บาท ณ วันที่ซื้อคืนก็จะได้ 50,000 x 10 = 500,000.- บาท
หักค่าใช้จ่ายแล้ว 550,000 – 355,000 เหลือกำไร 145,000.- บาท => น่าลงทุนไหม ???
9. ต้องรับกับสภาพปลาในการเลี้ยงรวมได้ แน่นอนว่าจะต้องมีการกระทบกระทั่งกัน กัดกัน ฟัดกัน สภาพปลาต้องมีเสียหาย เละเทะ => มีจ่าฝูง มีหางแถว มีตัวสวย มีตัวไม่สวย มีตัวสมบูรณ์ มีตัวยับเยิน เรื่องธรรมดาครับ
10. ข้อสุดท้าย NC. ฝากกำชับไว้เลยนะครับ => หากจะร่วมลงทุนกับ “โครงการขุนปลาระยะยาว” นี้แล้ว สู้ให้เต็มที่แล้วก็ ตัวปลาเสียหายได้ แต่ “อย่าให้ตาย” นะครับ (ถ้าไม่ตายรับรองว่า “มีกำไร”)
“โครงการขุนปลาระยะยาว” ต่างจาก “การขุนปลาธรรมดา” อยู่หลายข้อ สำหรับการขุนปลาธรรมดา เราเป็น Freelance งบประมาณมีพอไม่ลำบาก => จะขุนอะไร ? เลี้ยงอะไร ? ขายตอนไหน ? ขายใคร ? ขายตัวไหน ? ที่ราคาเท่าไหร่ ? ก็ทำได้ตามใจเรา ไม่มีใครบังคับ แต่สำหรับ โครงการขุนปลาระยะยาว นั้นมีเงื่อนไขต่างๆ มากมายให้เราต้องพิจารณมากขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดการขาดทุน เสียหาย ช้ำใจ กับผู้ร่วมโครงการในอนาคต
NC. ก็ขอฝากกระทู้นี้ให้เพื่อนสมาชิก Aro4u ได้ทราบไว้เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับทุกๆ ท่านครับ